รู้จุดแข็งตัวเอง สู่การรักตัวเองที่มากขึ้น

‘ความสุขในที่ทำงานเริ่มต้นที่ตัวเรา’ เชื่อไหมว่าประโยคนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยและประโยคนี้ถูกยกขึ้นมา เพราะในมิติที่ 4 นี้ เราจะพาไปสำรวจภายในจิตใจของตัวเองกัน นั่นคือเรื่อง ‘การมองเห็นคุณค่าในตนเอง’ ที่เราคุ้นชินกับคำว่าการมี Self-esteem

ในโลกของการทำงานที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน เราสามารถพบเจอคนเก่ง มีความสามารถ แน่นอนว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะทำงานร่วมกันกับคนเก่ง ๆ ทั้งการได้เรียนรู้วิธีคิด วิธีการทำงานของพวกเขา แล้วนำมาปรับใช้ให้เข้ากับการทำงานของเรา แต่ก็ไม่แปลกเช่นกันที่รัศมีความเก่งของผู้คนเหล่านั้นอาจจะทำให้ไฟในการทำงานของตัวเราเองค่อย ๆ มอดลง จากการเผลอเปรียบเทียบตัวเองกับพวกเขา “ต้องพยายามแค่ไหนถึงจะเก่งแบบนั้น” “ พยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถเก่งได้แบบนั้นหรอก” ไม่แปลกที่บางทีจะมีความคิดแบบนั้นขึ้นมาในสังคมที่ถูกรายล้อมไปด้วยคนเก่ง แต่ในความเป็นจริง ต้องเข้าใจว่า ภาพที่เห็นไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด เป็นเพียงจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งในชีวิตของพวกเขาที่นำมาต่อในภาพชีวิตให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะได้ภาพที่สวยงามขนาดนี้

ดังนั้น เราจึงควรย้อนมองกลับมาที่ตัวเอง ในพื้นที่ที่ไม่มีสายตาของใครจับจ้อง และตั้งคำถามอย่างไม่อคติและตัดเรื่องอารมณ์ที่อ่อนไหวออกไปว่า “จริง ๆ แล้วเราทำอะไรได้ดี” โดยคำตอบไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อย่างการแก้โจทย์เลขยาก ๆ ออกภายใน 3 วินาที หรือสามารถพูดได้ถึง 7 ภาษา แต่ความสามารถที่ว่าอาจจะหมายถึงการมีความจำที่ดี จดจำรายละเอียดต่าง ๆ ได้แม่นยำ เป็นคนรอบคอบ เท่านี้ก็เป็นหนึ่งในความสามารถของตัวเองแล้ว และแค่คิดต่อว่าเราจะใช้ความสามารถนี้ไปต่อยอดในการทำงานอะไร เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งที่ดีของทีมจากความสามารถนี้ได้อย่างไร ท้ายสุดคือการที่เรารู้จุดแข็งของตัวเองก็เพียงพอแล้ว

ปัจจุบัน อนาคต ความคาดหวังของเหล่าคนทำงาน

ลองมองปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลต่อคุณค่าในตัวของคุณบ้าง มนุษย์ทุกคน ลึก ๆ แล้วต่างต้องการการยอมรับจากสังคม ทั้งครอบครัว กลุ่มเพื่อน คนรัก หรือแม้แต่สังคมในที่ทำงาน ซึ่งการถูกยอมรับในที่ทำงานอาจตีความได้จากท่าที การแสดงออกของเพื่อนร่วมงาน งานที่หัวหน้ามอบหมายให้ แล้วอะไรคือสิ่งที่คนทำงานมองว่าเป็นการยอมรับที่อยากได้ในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า 34.7 % มองว่าการได้รับการขึ้นเงินเดือน คือตัวชี้วัดว่าเราได้รับการยอมรับในองค์กร จริงอยู่ที่แรงงานในประเทศไทยที่อยู่ในระบบอย่างถูกต้องมีกฎหมายคุ้มครองให้ได้รับการขึ้นเงินเดือนอย่างน้อยปีละ 3 % แต่การปรับขึ้นเงินเดือนที่มากกว่า 3 % หลายบริษัทจะมีเกณฑ์ชี้วัดที่ชัดเจน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่องของสมรรถภาพในการทำงานของตัวพนักงานเอง ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณคือคนที่มีค่าต่อองค์กร และนี่คือผลตอบแทนที่องค์กรอยากจะมอบให้เพื่อขอบคุณในความขยันและทุ่มเท รองลงมาคือ 22.5 % อยากเห็นความก้าวหน้าของตัวเองในองค์กร ทั้งการเลื่อนตำแหน่ง การมีสายงานและได้รับการสนับสนุนที่ชัดเจน

นอกเหนือจากการยอมรับที่ได้จากองค์กร เรายังได้ลองถามแบบกว้าง ๆ ถึง 5 สิ่งที่อยากได้ในตอนนี้เมื่อนึกถึงเรื่องงาน และคำตอบที่ได้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในไทยและในระดับโลก เพราะ 3 อันดับแรกที่คนอยากได้ เริ่มต้นที่การมีรายได้ที่ดี มีความมั่งคั่งหรือร่ำรวย ตามมาด้วย การมีสวัสดิการที่ดีสำหรับพนักงาน และปิดท้ายด้วยความมั่นคงในหน้าที่การงาน ทั้ง 3 อันดับเกี่ยวข้องกับสถานภาพความมั่นคงทางการเงินทั้งสิ้น จึงพอสรุปได้ว่า เงินคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราสามารถเลือกใช้ชีวิตในระดับคุณภาพที่เราอยากได้ อีก 2 อันดับที่ผู้คนตอบเข้ามาเป็นเรื่องของสถานะทางสังคมหรือการมีสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร อย่างการอยากได้เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือสังคมในที่ทำงานดี และเป็นเรื่องความสำเร็จที่จับต้องได้

ใส่ใจและตอบแทน การก้าวเป็นพลเมืองโลก

เรารู้ถึงปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลต่อการรู้คุณค่าในตัวเองไปแล้ว แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดของการเป็นพลเมืองโลกถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายมากขึ้นในประเทศไทย ทั้งเป็นคีย์เวิร์ดที่ปรากฏในสื่อหรือนโยบายของภาครัฐ หรือแม้แต่คนในแต่ละ Gen โดยเฉพาะ Gen Y และ Gen Z ที่ให้ความสนใจและพร้อมก้าวสู่การเป็นพลเมืองโลก พวกเขาจึงเลือกทำงานที่ไม่ใช่ได้ประโยชน์กับตัวเองหรือคนรอบตัวเท่านั้น แต่องค์กรที่อยู่ จะต้องให้อะไรกับสังคมหรือสิ่งแวดล้อมด้วย หรืออย่างน้อยบริษัทจะต้องมีแผนดำเนินการทางธุรกิจที่ยั่งยืน เพราะนับเป็นความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองโลกที่ใส่ใจต่อสังคมและโลกที่อาศัยอยู่ 80 % คาดหวังในองค์กรหรืองานที่ทำอยู่ ต้องตอบแทนให้กับสังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีของการตื่นรู้ของคนทำงานในประเทศไทย และหวังว่าองค์กรในไทยเองก็จะตอบรับกับสิ่งที่บุคลากรคาดหวังเช่นกัน

INSIDE SC

รู้ไหมว่า ใน SC Asset มีแผนก Sustainability Development ที่รับผิดชอบการดูแลกลยุทธ์ต่างๆ ทำให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน โดยจะทำงานร่วมกับหลายแผนกทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

นอกจากนี้ SC Asset ยังมีพันธกิจ #SCeroMission ที่ตั้งเป้า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 25% ภายในปี 2030
ทั้งนี้ ทีม Sustainability Development ใน SC Asset ยังอาสาเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างลูกบ้านและสังคมกกับภารกิจเปลี่ยนของใช้ที่เยอะเกินความจำเป็น เช่น นำเสื้อผ้าล้นตู้ ให้กลายเป็นของใช้ที่มีคุณค่า ผ่านกิจกรรม 'สร้างมิตรชิดรั้ว' โดยเนรมิตไซต์ก่อสร้างเป็นร้านค้ากส่งต่อของเหล่านี้ให้กับแรงงานก่อสร้าง มูลนิธิที่ต้องการสิ่งของและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม