A.I. เก่งกาจ มนุษย์ตกงานแน่แล้วไหม?
หลังจากได้สำรวจตนเองผ่านมิติของลักษณะนิสัยผู้คนและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในที่ทำงานไปแล้ว เราจะมาดำดิ่งสู่อีกหนึ่งมิติของที่ทำงานที่คุณจะต้องพบเจอ และแทบจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย
เริ่มกันที่เงื่อนไขแรก นั่นคือการนำเทคโนโลยีเข้ามาให้มีส่วนร่วมในการทำงานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในปี 2023 ที่ผ่านมา คือการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมที่นำ Generative A.I. เข้ามาเป็นหัวใจหลักของการทำงาน ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้งานของมนุษย์มีความซับซ้อนน้อยลง ลดขั้นตอนการทำงานที่โดยปกติจะต้องใช้แรงงานของมนุษย์ทำด้วยตัวเอง หากแต่เพียงป้อนคำสั่งหรือความต้องการที่เจาะจงและชัดเจนเพียงพอ งานเหล่านั้นก็ถูกเรียบเรียงออกมาให้กับคนทำงานอย่างเรียบร้อย
โดยผลสำรวจที่ได้สอบถามเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในที่ทำงาน 80.7 % ให้ความเห็นในทางเดียวกันว่าเห็นด้วยเป็นอย่างมากกับการนำเทคโนโลยีเข้ามาซัพพอร์ตการทำงานของมนุษย์ และเห็นถึงความสะดวกสบายจากการที่เทคโนโลยีเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระงานในปัจจุบันออกไปบ้าง พวกเขายังเต็มใจและมั่นใจที่ถ้าในอนาคต เทคโนโลยีจะถูกพัฒนาให้สามารถคิดได้ละเอียดขึ้น เก่งขึ้น เพื่อสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้ดียิ่งขึ้นไปอีก แต่ถ้าอ้างอิงถึงความกลัวในโลกโซเชียลถึงประเด็นการแย่งงานมนุษย์ที่เกิดจาก A.I. ล่ะ มีเพียง 2 % เท่านั้นที่กลัวการมาถึงของเทคโนโลยีและยังกลัวว่าในอนาคตเทคโนโลยีอาจจะเก่งกว่าพวกเขาและอาจถูกองค์กรกดดันให้ออกจากงานได้
คำถามคือ เราควรกลัวความเก่งของ A.I. เหล่านี้หรือไม่ อยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้และเข้าใจสาเหตุของความกลัวนั้นได้หรือเปล่า
ซึ่งในกรณีนี้ ปัจจัยหลักคือการมองอีกด้านของความเก่งกาจของ A.I. ว่าเราจะอยู่ร่วมกับสิ่งนี้และนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างไร ให้เทคโนโลยีได้มีส่วนร่วมในการอุดรอยรั่วงานของเรา เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับเนื้องานของเรามากขึ้นจะดีกว่าไหม สิ่งที่เราอาจต้องเริ่มต้นได้แล้ว คือการใช้ประโยชน์จาก A.I. ในชีวิตประจำวันของเราให้เป็นนิสัย เป็นการนำ A.I. มาพัฒนาชีวิต ประสิทธิภาพการทำงานของเราในทุก ๆ วันให้ดีขึ้น และแนวคิดนี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติในอนาคตอันใกล้ กับสิ่งที่เรียกว่า A.I. Stacking คือการใช้ A.I. หลายชนิดร่วมกันออกมาเป็น Workflow เพื่อให้เกิดชิ้นงานที่เราต้องการ จริงอยู่ที่ความเก่งกาจของเทคโนโลยีล้ำหน้าเกินความรู้ความสามารถของเราในหลากหลายด้าน แต่หากสามารถใช้ A.I. สร้างมูลค่าให้กับทำงานของเราได้เป็น ความน่ากังวลใจนี้ก็จะหมดไป สิ่งนี้ที่อยากจะให้จดจำไว้ นั่นคือการที่เราสามารถผสานความอัจฉริยะของปัญญาประดิษฐ์เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์อย่างคุณได้ ผลลัพธ์คืองานที่มีมูลค่าและประสิทธิภาพที่เพิ่มมากขึ้น นั่นล่ะคือองค์ประกอบของการทำงานที่ควรจะเป็นในอนาคต
โอบรับได้ง่ายกว่ากับการทำงานแบบ Work-Life Harmony
เงื่อนไขต่อมา คือวัฒนธรรมการทำงานในองค์กรที่มีประสิทธิภาพ (สำหรับคุณ) วัฒนธรรมองค์กรคือสิ่งที่ฝังรากหยั่งลึกเข้าไปในทุกองค์ประกอบขององค์กร ยากที่จะรื้อถอนหรือเปลี่ยนแปลง อาจจะปรับปรุงได้แต่ต้องใช้แรงกายแรงใจ เวลา และความร่วมมือของทุกภาคส่วนทุกระดับชั้นในองค์กรจึงจะสำเร็จได้ เพราะฉะนั้นเมื่อคุณอยากก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร การโอนอ่อนต่อวัฒนธรรมองค์กรจึงเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด อ่านมาเพียงเท่านี้อาจจะทำให้รู้สึกหมดหวังในองค์กรไปเสียก่อน อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องยึดถือไว้เสมอคือการหาความสุขในที่ทำงานให้เจอ แม้จะเป็นแสงสว่างเล็กๆ ก็ตาม ขอแค่ให้แสงสว่างนั้นอบอุ่นพอที่จะทำให้คุณไม่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือมืดหม่นก็เพียงพอแล้ว หรือไม่ คุณจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและตั้งมั่นว่าคุณมาที่นี่เพื่อทำงานรับเงินเดือน และจะไปใช้ชีวิตภายนอกบริษัทอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นทางใดทางหนึ่งหากคุณทำได้ ต้องขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยที่สามารถหาความสุขในที่ทำงานให้กับตัวเองได้

แล้วถ้าคุณเป็นคนที่อยากหาจุดตรงกลางของทั้งสองทางเลือกนี้ล่ะ คุณอาจจะกำลงมองหาแนวคิดการทำงานแบบ Work-Life Harmony ก็เป็นได้ โดยแนวคิดนี้คือการต่อยอดแนวคิดการทำงานแบบ Work-Life Balance ที่ถ้าจะให้แบ่งโลกทั้งสองใบออกจากกันอย่างสิ้นเชิงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ จะดีกว่าหรือเปล่าถ้าคุณสามารถหา “ความสงบในจิตใจ” ที่สอดผสานระหว่างงาน-ชีวิตเข้าด้วยกันจนเป็นเนื้อเดียว เพราะในชีวิตจริง หลายคน (อาจรวมถึงตัวคุณเอง) ไม่สามารถแยกเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวได้ ชีวิตทั้งสองโลกของคุณต่างส่งผลกระทบต่อกันและกัน อย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ถ้าตอนเช้าคุณทะเลาะหนักกับแฟนมา ย่อมค้างคาใจในหัวจนมาสู่การทำงาน หรือถ้าตอนเช้าคุณได้รับคำชมจากแฟน ย่อมมาทำงานด้วยรอยยิ้มแจ่มใส การโอบกอดโลกทั้งสองใบอย่างเข้าใจอาจจะเป็นหนทางที่ทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้แบบ Work-Life Harmony ได้
INSIDE SC
ผลสำรวจเสียงคนทำงานจาก CREATIVE TALKS ในเรื่องของ 100 สวัสดิการที่คนทำงานชอบที่สุด จะเห็นว่าคนทำงาน
ยังมองหาสวัสดิการที่มอบความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น การ Work from Home, Work from Anywhere รวมถึงRemote Working บริษัท SC Asset เองก็มีสวัสดิการ Workation ซึ่งอนุญาตให้พนักงานไปทำงานที่ไหนก็ได้ตามใจ 10 วันต่อปี และพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จจากการใช้วันลานี้ถึง 1,434 วันจากจำนวนพนักงาน 338 คน
และ SC Asset กำหนดวันเข้าออฟฟิศให้กับพนักงาน คือ วันจันทร์-วันพฤหัสบดี เหตุผลไม่ใช่แค่ให้พนักงานหลีกเลี่ยงการจราจรที่บ้าคลั่งในช่วงท้ายสัปดาห์เท่านั้น แต่คือการกำหนดให้งานที่ต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับทีม ต่อยอดไอเดียให้สมบูรณ์แบบที่สุด สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องถึง 4 วัน ต่อสัปดาห์และผลักดันให้งานนั้น ๆ จบภายในวันพฤหัสบดี เพื่อให้พนักงานสามารถจบงานที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองในวันศุกร์จนสามารถไปใช้ชีวิตที่อยากใช้แบบไม่ต้องมีงานมารบกวน
ในช่วงต้นเราได้มีการพูดถึงนโยบายการทำงานที่เกิดขึ้นและเป็นที่นิยมจากช่วงโรคระบาดที่ผ่านมาอย่างการ Work From Home, Work From Anywhere หรือการทำงานจากระยะไกลอย่าง Remote Working แม้ว่าช่วงโรคระบาดจะผ่านไปแล้ว แต่จะเห็นว่าหลายบริษัทยังคงเก็บการการทำงานรูปแบบนี้ไว้ และได้กลายมาเป็นปัจจัยหนึ่งที่คนทำงานใช้ตัดสินใจเลือกว่าจะเข้าร่วมองค์กรนั้น ๆ จากผลสำรวจ เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ 46.7 % ตอบว่า เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ใช้ในการตัดสินใจตั้งแต่การสมัครงานเลย พวกเขาเห็นคุณค่าในการทำงานแบบเดิมและแต่ในขณะเดียวกันก็มองว่าการทำงานที่ทำได้ทุกที่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะต้องการความยืดหยุ่นและความสะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลากับการเดินทางไปยังสถานที่ทำงาน และสามารถมีเวลาทำอย่างอื่นได้มากขึ้น และต่อให้อีก 40.7 % จะไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยการมีนโยบายการทำงานอย่างอิสระให้พนักงานหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็ยังเห็นด้วยกับการทำงานแบบ Hybrid ที่สามารถเลือกได้ว่าจะเข้าออฟฟิศตอนไหนสลับกับการทำงานที่บ้าน เพื่อให้สามารถมีทั้งเวลาส่วนตัวในการทำงานและยังมีสังคมจากการพบปะเพื่อนร่วมงานแบบซึ่งหน้า
จากผลสำรวจที่กล่าวไปมีตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับในมุมขององค์กรอีกด้วย นั่นคือ Gen ที่จะใช้เรื่อง Work From Home มาพิจารณาการเลือกที่ทำงานด้วยนั้น อันดับ 1 คือ 87.2 % ของ Gen Z และตามมาด้วย 87 % ของ Gen Y ที่ตอบแบบสอบถาม อย่างที่ทราบกันดีว่า หากองค์กรอยากจะเติบโตและเท่าทันโลกในยุคที่กระแสเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว การได้คนรุ่นใหม่มีความสามารถอย่าง Gen Z เข้ามาช่วยทำงานในองค์กรคือส่วนสำคัญ ดังนั้น องค์กรควรที่จะเรียนรู้ความต้องการของ Gen Z และนำมาปรับใช้ หาจุดตรงกลางที่ประสานคนหลายช่วงอายุให้สามารถทำงานด้วยกันได้อย่างแตกต่างแต่เข้าใจ
แรงกดดันที่หนักหน่วง จะรับมืออย่างไรให้ไหว?
เงื่อนไขถัดมาคือแรงกดดันที่อาจจะขึ้นในองค์กรจากหลายปัจจัยในที่ทำงาน อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า สาเหตุอันดับต้นของการลาออกคือการเป็นโรคซึมเศร้าจากการทำงาน ซึ่งแรงกดดันในที่ทำงานคือปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้พนักงานเกิดความเครียดสะสมจนเป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถพัฒนากลายเป็นโรคได้ เราจึงอยากรู้ว่า คนที่ยังสามารถทำงานได้ มีวิธีรับมือกับความเครียดที่เกิดขึ้นในที่ทำงานอย่างไรบ้าง ตัวเลขเปิดเผยออกมาว่า 55.4% จัดการเวลาเพื่อรองรับสถานการณ์ทำงาน, เน้นการบริหารเวลาอย่างมีระบบ, มองภาพรวมงาน, และคาดการณ์ปัญหาไว้ล่วงหน้า
อีก 40.6% แนะนำการจัดการความเครียดด้วยการออกกำลังกายและเทคนิคทางจิตใจ เพราะการออกกำลังกายทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนแห่งความสุข เช่น เซโรโทนิน, โดปามีน, และ เอ็นดอร์ฟิน ที่ช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างความรู้สึกดี ใครที่กำลังเครียดกับงานอยู่อาจจะลองทบทวนวิธีออกกำลังกายและนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตของตนเอง เพื่อป้องกันอาการหมดไฟในการทำงานที่จะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้
เงื่อนไขสุดท้ายคือภาวะเป็นพิษจากหัวหน้างาน ต่อให้เพื่อนร่วมงานของคุณจะดีแค่ไหน จะมีสวัสดิการที่สนับสนุนการใช้ชีวิตที่ใช่ของคุณอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าชะตาชีวิตการทำงานของคุณกลับอยู่ในมือของหัวหน้าอยู่ตลอด คุณคิดว่าปัจจัยนี้มีผลต่อการตัดสินใจทำงานของคนในปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน แม้ว่าผลสำรวจจะพบว่า 58.6 % จะยังคงอดทนทำงานต่อไปแม้ว่าจะมีหัวหน้างานที่ Toxic จากเหตุผลของอัตราการแย่งงานในปัจจุบันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มองว่า การอดทนต่อไปคือทางเลือกที่ดีทีสุด แต่กลุ่มตัวอย่างที่เลือกอดทนต่อไปกลับมีสัดส่วนของคน Gen Z ที่ค่อนข้างน้อย นั่นอาจจะทำให้อนุมานได้ว่ากลุ่มคน Gen Z เลือกที่จะไม่อดทนกับการมีหัวหน้า Toxic เพราะพวกเขามองเห็นถึงความรู้ความสามารถของตัวเองว่าจะเป็นประโยชน์ในที่อื่นได้ และเห็นคุณค่าของตัวเองมากกว่ากับการอดทนทำงานในสภาวะที่ไม่เป็นมิตร ทั้งนี้ Gen Z ยังเป็นช่วงวัยที่อาจจะยังไม่ได้มีภาระในการรับผิดชอบมากนักเมื่อเทียบกับคน Gen Y และ Gen X ที่จะผูกติดอยู่กับการผ่อนทรัพย์สินของตัวเอง เช่น คอนโด รถยนต์ รวมทั้งภาษีการเข้าสังคมที่แลกมากับการเติบโตในสายงาน
องค์กรที่เห็นความสำคัญของ Gen Z จึงอาจจะต้องหาทางจัดการกับปัญหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ Toxic โดยเฉพาะจากระดับหัวหน้า ทั้งการวางระบบที่เอื้อต่อการปกป้องสิทธิ์ของคนทำงานทุกระดับชั้น การมีนโยบายที่สามารถให้พนักงานทุกคนสามารถติชม แสดงความคิดเห็นในการทำงานได้อย่างเป็นระบบ และการมีวัฒนธรรมองค์กรในเชิงบวกที่เข้มแข็ง เพื่อป้องกันน้ำเสียไม่ให้สามารถกลืนกินส่วนที่ดีขององค์กรไปได้นั่นเอง
INSIDE SC
เพราะสุขภาพของพนักงาน SC Asset เป็นเรื่องสำคัญ จึงมีนโยบาย #SCWellbeing ที่ใส่ใจดูแลถึงร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ ผ่านกิจกรรมและสวัสดิการที่ตอบโจทย์
ทั้งสวัสดิการคลับออกกำลังกายและห้องพยาบาลที่รองรับการดูแลด้านร่างกาย (Physical) สวัสดิการ Stand by You ที่เคียงข้างหัวใจที่ต้องการเติมเต็ม ดูแลค่ารักษาพยาบาลสำหรับการรักษาโรคซึมเศร้าและแพนิค 30,000 บาทต่อคน รวมทั้งบริการให้คำปรึกษาทางจิตใจ (Mental) กับผู้เชี่ยวชาญออนไลน์แบบไม่มีค่าใช้จ่าย และยังมีคลาสพิเศษสำหรับการฟื้นฟูบำบัดจิตใจ (Spiritual) ที่ช่วยดูแลจิตวิญญาณของพนักงานทุกคนอีกด้วย