หลังจากที่หลายคนต้องทำงานที่บ้านอยู่นานเป็นปี จนสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้ประเทศเริ่มกลับเข้ามาสู่สภาวะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว มีการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัดและต่างประเทศกันมากขึ้น ส่งผลให้หลายบริษัทเริ่มให้พนักงานกลับเข้าทำงานในออฟฟิศตามปกติ แต่หลายคนก็ไม่ค่อยอยากกลับไปทำงานในลักษณะเข้าออฟฟิศทุกวันอีก เพราะรูปแบบพฤติกรรมการทำงานของหลายคนได้เปลี่ยนไปล่าสุด ทำให้มีกระแสการทำงานแบบผสมผสานหรือ Hybrid Working กันมากขึ้น เนื่องจากมนุษย์เงินเดือนหลายคนอาจมีอาการ Burnout ซึ่งเป็น WFH Effect ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความต้องการที่สอดคล้องกันทั้งสองฝ่าย “Workation” จึงได้ถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง ตอบโจทย์พนักงานที่ต้องการไปเที่ยวแต่ก็สามารถทำงานเพื่อให้บริษัทเดินหน้าไปได้เช่นกัน ในบทความนี้ เรามาแนะนำเทคนิคการ Workation สุดปัง ทำงานไปและท่องเที่ยวไปอย่างไรไม่ให้เสียงาน จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกัน

1.เลือกไปสถานที่ที่สงบ คนน้อย ไม่พลุกพล่าน – การเลือกทำงานในสถานที่ที่สงบ ไม่มีสิ่งเร้าคอยรบกวน จะช่วยให้เรามีสมาธิในการทำงานมากยิ่งขึ้น เกิดผลผลิตชิ้นงานที่มีคุณภาพและมีความสร้างสรรค์ แถมยังช่วยให้เราปรับอารมณ์และคลายความตึงเครียดจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ได้อีกด้วย

2.พยายามเลือกเที่ยวในสถานที่ไม่ไกลมากเกินไป – หากเกิดกรณีที่มีเหตุจำเป็น จะต้องกลับไปทำงานด่วนหรือไปพบลูกค้าในวันถัดไป การเลือกไปทำงานและเที่ยวในสถานที่ที่ใกล้ที่พักอาศัยหรืออยู่ไม่ไกลจากจังหวะที่เราทำงานอยู่ จะช่วยทำให้เราเดินทางไปและกลับสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

3.สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ดี – ในสถานที่ที่เราเลือกไปเที่ยวควรจะเป็นพื้นที่ที่มีการเข้าถึงของอินเทอร์เน็ตที่เสถียร เพื่อให้การติดต่องานระหว่าง เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ลูกค้า ไม่เกิดปัญหาในการสื่อสารได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

4.ไปแหล่งท่องเที่ยวที่มีค่าครองชีพต่ำ – แน่นอนว่าการท่องเที่ยวในแต่ละครั้งจะทำให้เกิดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องบิน ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าอาหาร รวมไปถึงค่าจิปาถะอื่น ๆ การเลือกไปยังแหล่งท่องเที่ยวที่มีค่าครองชีพต่ำ จะช่วยให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการอยู่กินมากยิ่งขึ้นได้ ทำให้เรามีเงินทุนสามารถไปต่อยอด เพื่อเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ในทริปหน้าได้อีกด้วย

5.ถ้าไม่บินเดี่ยว ก็พาเพื่อนที่ทำงานไปด้วยกันได้ – บางครั้งไปเที่ยวคนเดียวก็อาจจะรู้สึกเหงาจนเกินไป และโปรเจกต์งานบางอย่างอาจจำเป็นจะต้องใช้หัวคิดมากกว่าหนึ่งคน การมีเพื่อนร่วมงานร่วมเดินทางไปด้วย อาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่จะช่วยให้เราสามารถคิดและสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน และทำให้งานมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลได้

ประโยชน์ที่ได้จากการ Workation

โดยปกติแล้วพนักงานเงินเดือนจะต้องนั่งทำงานไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง ซึ่งส่งผลเสียทำให้เรามีสุขภาพที่แย่ลง สภาวะจิตใจที่ต้องพบกับความตึงเครียดจากการกดดันในที่ทำงาน ทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้า เกิดภาวะหมดไฟ และผลงานที่เราสรรสร้างอาจจะไม่มีคุณภาพมากเพียงพอ การปรับเปลี่ยนลักษณะการทำงานหรือออกไปเที่ยวยังสถานที่อื่น ๆ จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ทำให้เราเห็นประโยชน์จากการ Workationมากมาย ดังนี้

1. ช่วยให้ผ่อนคลายและลดความเครียดจากการทำงานที่อยู่แต่ในออฟฟิศ
2. สามารถเพิ่มศักยภาพในการทำงาน ทำให้เกิดการพัฒนา และผลิตผลงานออกมาได้ดียิ่งขึ้น
3. ได้ฝึกบริหารจัดการเวลาในการทำงานอย่างอิสระ
4. ได้พบกับแรงบัลดาลใจใหม่ ๆ เพื่อนำไปต่อยอดในการทำงาน และจุดประกายในการใช้ชีวิตได้
5. สร้างเสริมประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง
6. ทำให้รู้สึกว่าพึงพอใจกับงานที่ทำอยู่